วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ตามกระแส "มารศาสนา ตามความเชื่อของสาวก"ตถาคต" สืบทอด หรือ ทำลาย"

ผู้ที่บรรลุโสดาบัน หรือพระอรหันต์ จะไม่ประกาศ ตนเพื่อให้คนงมงาย
พระอรหันต์ (พระ-อะ-ระ-หัน) คือ พระอริยบุคคลชั้นสูงสุดในศาสนาพุทธ สามารถละสังโยชน์ได้ครบ 10 ประการ
สังโยชน์ (บาลี: samyojana) คือ กิเลสที่ผูกมัดใจสัตว์, ธรรมที่มัดสัตว์ไว้กับทุกข์ 
หรือกิเลสเครื่องร้อยรัดจิตใจให้จมในวัฏฏะ มี 10 อย่าง คือ
ก. โอรัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องต่ำ 5 ได้แก่
1. สักกายทิฏฐิ - มีความเห็นว่าร่างกายนี้เป็นของเรา มีความยึดมั่นถือมั่นในระดับหนึ่ง
2. วิจิกิจฉา - มีความสงสัยในคุณของพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
3. สีลัพพตปรามาส - ความถือมั่นศีลพรต โดยสักว่าทำตามๆ กันไปอย่างงมงาย เห็นว่าจะบริสุทธิ์หลุดพ้นได้เพียงด้วยศีลและวัตร 
หรือนำศีลและพรตไปใช้เพื่อเหตุผลอื่น ไม่ใช่เพื่อเป็นปัจจัยแก่การสิ้นกิเลส เช่นการถือศีลเพื่อเอาไว้ข่มไว้ด่าคนอื่น การถือศีลเพราะอยากได้ลาภสักการะเป็นต้น 
ซึ่งรวมถึงการหมดความเชื่อถือในพิธีกรรมที่งมงายด้วย
4. กามราคะ - มีความติดใจในกามคุณ
5. ปฏิฆะ - มีความกระทบกระทั่งในใจ
ข. อุทธัมภาคิยสังโยชน์ สังโยชน์เบื้องสูง 5 ได้แก่
6. รูปราคะ - มีความติดใจในวัตถุหรือรูปฌาน
7. อรูปราคะ - มีความติดใจในอรูปฌานหรือความพอใจในนามธรรมทั้งหลาย
8. มานะ - มีความยึดมั่นถือมั่นในตัวตนหรือคุณสมบัติของตน
9. อุทธัจจะ - มีความฟุ้งซ่าน
10. อวิชชา - มีความไม่รู้จริง

พระโสดาบัน ละสังโยชน์ 3 ข้อต้นได้คือ หมดสักกายทิฏฐิ,วิจิกิจฉาและสีลัพพตปรามาส
พระสกทาคามี ทำสังโยชน์ข้อ 4 และ 5 คือ กามราคะและปฏิฆะ ให้เบาบางลงด้วย
พระอนาคามี ละสังโยชน์ 5 ข้อแรกได้หมด
พระอรหันต์ ละสังโยชน์ทั้ง 10 ข้อ

อย่าว่าแต่พระอรหันต์ เลยครับ พระโสดาบัน ยังหายากเลยสมัยนี้
                                                 ที่มา : http://pantip.com/topic/30654850
(ก. ความจริงตามแบบของชาวโลกตามธรรมชาติ)
 ภารท์วาชะ ! เมื่อก่อนท่านได้ถึงความเชื่อ (อย่างใดอย่างหนึ่งลงไป
แล้ว) มาบัดนี้ท่านกล่าวมันว่า (เป็นเพียง) สิ่งที่ได้ยินได้ฟังมา. ภารท์วาชะ !
สิ่งทั้งห้านี้ อย่างที่เราเห็น ๆ กันอยู่ในบัดนี้ เป็นสิ่งที่มีผลเป็น ๒ ฝ่าย. สิ่งทั้ง
ห้านั้น คืออะไรเล่า ? คือ ความเชื่อ (ว่าจริง), ความชอบใจ (ว่าจริง), เรื่องที
ฟังตาม ๆ กันมา (ว่าจริง), ความตริตรึกไปตามเหตุผลที่แวดล้อม (ว่าจริง), และ
ข้อยุตติที่ทนได้ต่อการเพ่งพินิจด้วยความเห็นของเขา (ว่าจริง), ดังนี้ นี่แหละ
คือสิ่งทั้งห้าที่เราเห็น ๆ กันอยู่ในบัดนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีผลเป็น ๒ ฝ่าย. ภารท์วาชะ !
สิ่งที่เชื่อ กันแล้วเป็นอย่างดีนั่นแหละ ก็มีอยู่, แต่ว่าสิ่งนั้นเป็นของเปล่า เป็นของ
ไม่จริง เป็นของเท็จ อยู่ก็มี; แม้ สิ่งที่ไม่เชื่อกัน แล้วเป็นอย่างดี ก็มีอยู่, แต่ว่า
สิ่งนั้นกลับเป็นของจริง ของแท้ ของไม่ผิดเป็นอย่างอื่น อยู่ก็มี. ภารท์วาชะ !
สิ่งที่ชอบใจ กันแล้วเป็นอย่างดีนั่นแหละ ก็มีอยู่, แต่ว่าสิ่งนั้นเป็นของเปล่า เป็น
ของไม่จริง เป็นของเท็จ อยู่ก็มี; แม้ สิ่งที่ไม่ชอบใจ กันแล้วเป็นอย่างดี ก็มีอยู่,
แต่ว่าสิ่งนั้นกลับเป็นของจริง ของแท้ ของไม่ผิดเป็นอย่างอื่น อยู่ก็มี. ภารท์วาชะ !
สิ่งที่ได้ฟังตามกันมาแล้วเป็นอย่างดีนั่นแหละ ก็มีอยู่, แต่ว่าสิ่งนั้นเป็นของเปล่า
เป็นของไม่จริง เป็นของเท็จอยู่ก็มี; แม้ สิ่งที่ไม่ได้ฟังตามกัน มาแล้วเป็นอย่าง
ดี ก็มีอยู่, แต่ว่าสิ่งนั้นกลับเป็นของจริง ของแท้ ของไม่ผิดเป็นอย่างอื่น อยู่ก็มี.
ภารท์วาชะ! สิ่งที่ได้ตริตรึก กันมาแล้วเป็นอย่างดีนั่นแหละ ก็มีอยู่, แต่ว่าสิ่ง
นั้นกลับเป็นของเปล่า เป็นของไม่จริง เป็นของเท็จอ ยู่ก็มี; แม้ สิ่งที่ไม่ได้
ตริตรึก กันมาแล้วเป็นอย่างดี ก็มีอยู่, แต่ว่าสิ่งนั้นกลับเป็นของจริง ของแท้
ของไม่ผิดเป็นอย่างอื่น อยู่ก็มี. ภารท์วาชะ! สิ่งที่ได้เพ่งพินิจ กันมาแล้วเป็น
อย่างดีนั่นแหละ ก็มีอยู่, แต่ว่าสิ่งนั้นกลับเป็นของเปล่า เป็นของไม่จริง เป็น
ของเท็จ อยู่ก็มี; แม้ สิ่งที่ไม่ได้เพ่งพินิจ กันมาแล้วเป็นอย่างดี ก็มีอยู่, แต่ว่า
สิ่งนั้นกลับเป็นของจริง ของแท้ ของไม่ผิดเป็นอย่างอื่น อยู่ก็มี. ภารท์วาชะ !
วิญญูชนผู้จะตามรักษาไว้ซึ่งความจริง อย่าพึงถึงซึ่งการสันนิษฐานโดยส่วนเดียว
ว่า "อย่างนี้เท่านันจริง, อย่างอื่นเปล่า" ดังนี้

 "ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ ! การตามรักษาไว้ซึ่งความจริง (สจฺจานุรกฺขณา)
นั้น มีได้ด้วยการกระทำเพียงเท่าไร ? บุคคลจะตามรักษาไว้ซึ่งความจริงนั้นได้ ด้วยการ
กระทำเพียงเท่าไร ? ข้าพเจ้าขอถามพระโคดมผู้เจริญถึง วิธีการตามรักษาไว้ซึ่งความจริง."

(ต่อไปนี้พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสวิธี การตามรักษาไว้ซึ่งความจริง ในลักษณะ
ที่ไม่ให้ถือเอาด้วยความยึดมั่นความที่ตนเชื่อ ตามที่ตนชอบใจ ตามที่ตนได้ยินได้ฟังมาเป็นต้น :-)
ที่มา :http://www.pobbuddha.com/tripitaka/upload/files/964/index.html

วันอาทิตย์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2556

Windows 7 Black Screen แก้ปัญหาอาการจอมืดของวินโดว์ 7

Windows 7 Black Screen แก้ปัญหาอาการจอมืดของวินโดว์ 7

ผู้ ใช้คอมพิวเตอร์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Windows 7 หรือ Windows Server 2008 R2 อาจจะประสบกับปัญหาเกิดจอดำ (Black screen) หลังจากสกรีนเซฟเวอร์ทำงาน โดยไมโครซอฟท์ได้ออกมายืนยันปัญหาดังกล่าวนี้แล้วพร้อมชี้แจงรายละเอียดว่า ปัญหานี้จะเกิดขึ้นในกรณีมีเงื่อนไขดังนี้
กรณีที่ 1
- บนเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้ Windows 7 หรือ Windows Server 2008 R2 และเปิดใช้งานสกรีนเซฟเวอร์
- เปิดใช้งานอ็อปชัน On resume, display logon screen ของสกรีนเซฟเวอร์
- มีการตั้งเวลาอ็อปชัน Turn off the display และ Put the computer to sleep ของ Power Options เท่ากัน และเวลาที่ตั้งนั้นนานกว่าเวลาที่ตั้งให้สกรีนเซฟเวอร์ทำงาน
- เมื่อผ่านค่าเวลาสำหรับ Turn off the display ทำให้จอภาพปิดตัวเองโดยอัตโนมัติ
กรณีที่ 2
- บนเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพาที่ใช้ Windows 7 หรือ Windows Server 2008 R2 และเปิดใช้งานสกรีนเซฟเวอร์
- มีการเปิดใช้งานอ็อปชัน On resume, display logon screen ของสกรีนเซฟเวอร์
- หลังจากสกรีนเซฟเวอร์ทำงานผู้ใช้ทำการปิดหน้าจอเครื่องคอมพิวเตอร์แบบพกพา
ใน ทั้ง 2 กรณีคอมพิวเตอร์จะยังคงรันอยู่ แต่จะไม่สามารถทำการเปิดหน้าจอโดยใช้คีย์บอร์ดได้ และอาจจะไม่สามารถเปิดหน้าจอได้จนกว่าจะทำการบังคับรีสตาร์ทเครื่อง คอมพิวเตอร์
หมายเหตุ: เมื่อ ทำการตั้งเวลาอ็อปชัน Turn off the display น้อยกว่า 10 นาที ค่า Turn off the display option automatically จะเปลี่ยนเป็นค่าที่ทำให้คอมพิวเตอร์สลีป (Sleep)
สาเหตุ: 
ปัญหาดังกล่าวนี้เกิดจากการทำงานที่ไม่สัมพันธ์กันระหว่างเธรดของ CSRSS และของ WinLogon
วิธีการแก้ไข:
ไมโครซอฟท์ ออกฮอตฟิกซ์เพื่อให้ผู้ใช้ Windows 7 หรือ Windows Server 2008 R2 ที่ประสบปัญหาตามที่อธิบายด้านบนใช้แก้ปัญหาแล้ว โดยสามารถดาวน์โหลดได้ที่ Hotfix (KB976427)อย่าง ไรก็ตาม ไมโครซอฟท์ได้แนะนำให้ผู้ใช้ทำการติดตั้งฮ็อตฟิกซ์ตัวนี้เฉพาะบนเครื่อง คอมพิวเตอร์ที่มีปัญหาตามที่อธิบายด้านบนเท่านั้น เนื่องจากฮ็อตฟิกซ์นี้ยังต้องทดสอบการทำงานเพิ่มเติมและจะรวมอยู่ในเซอร์วิ สแพ็ค (Service Pack) ที่จะออกในอนาคต
แต่การแก้ไขปัญหาจะไม่สามารถทำได้เลย หาก Computer ไม่สามารถเข้าใช้งานวินโดว์ได้ เพราะฉะนั้นการแก้ไขต้องใช้วิธีการดังต่อไปนี้ครับ
หากยังเปิดหน้าต่าง Windows Task Manager ได้ตามปกติ
  1. ให้ทำการรีสตาร์ทเครื่อง
  2. ล๊อคอินเข้าใช้งานวินโดว์ รอให้ขึ้นหน้าจอ Black screen
  3. ตรวจเช็คให้แน่ใจว่าได้ทำการต่ออินเตอร์เน็ตอยู่
  4. กด Ctrl-Alt-Del
  5. เลือกที่ Stat Task Manager
  6. คลิกที่แท็ป Applications
  7. เลือก New Task
  8. พิมพ์ ” C:\program Files\internet Explorer\iexplore.exe” และเข้าไปดาวน์โหลดตัวแก้ไขที่ http://info.prevx.com/download.asp?GRAB=BLACKSCREENFIX
  9. โหลดโปรแกรมฟิก Black Screen แล้วทำการรันโปรแกรมฟิกได้เลย
  10. หลังจากรันโปรแกรมเสร็จเรียบร้อยให้ทำการรีสตาร์ทเครื่อง ก็จะสามารถเข้าใช้งาน วินโดว์ ได้ปกติ
แต่ถ้าเครื่องติดไวรัส และไม่สามารถเปิดหน้าต่าง Task Manager ได้ละ ??
  1. ให้ทำการรีสตาร์ทเครื่อง
  2. กด F8 เพื่อเข้าหน้าต่าง Windows Advanced Option Menu
  3. เลือก Safe Mode With Command Prompt
  4. ที่หน้าต่าง Command พิมพ์ explore.exe
  5. จะสามารถเข้าใช้งานหน้าต่าง Explore ได้ หลังจากนั้นก็ทำการกำจัดไวรัสที่บล๊อคไม่ให้เข้าใช้งานในส่วนของ Task Manager  Download ที่นี่
  6. แก้ไวรัสเสร็จแล้วต่อจากนี้ก็สามารถใช้วิธีการแบบแรกได้เลยครับ
หมายเหตุ อีกวิธีหนึ่งที่สามารถแก้ไขได้คือการอัพเดท  Windows 7 Service Pack 1 จะสามารถแก้ไข Windows 7 Black Screen  ได้เช่นกัน